35-0. 60 ม. ความลึกของหลุมเจาะไม่ลึกมากนัก ก้นหลุมเจาะยังอยู่ในชั้นดินเหนียวแข็ง (Stiff Clay) หรือชั้นดินทรายที่ไม่มีน้ำ การนำดินขึ้นจากหลุมเจาะ ใช้เครื่องมือประเภทสว่าน (Auger) หรือ กระบะตักดิน (Bucket) นำดินขึ้นมาเท่านั้น ภายในหลุมเจาะจะต้องไม่มีน้ำ และการพังทลายของดินในหลุมเจาะควรน้อย หรือไม่มีเลย วัสดุและอุปกรณ์ 1. ขาตั้ง 3 ขา ปรับตั้ง 3 ขา ให้ได้ตรงแนวศูนย์กลางของเสาเข็ม เมื่อตรวจสอบถูกต้องแล้ว จึงตอกหลักยึดปรับแท่นเครื่องมือให้แน่นแล้วใช้กระเช้า ( BORING TACKLE) เจาะนำเป็นรู ลึก ( PRE BORE) ประมาณ 1. 00 เมตร 2. ปลอกเหล็ก ขนาดและความยาวของปลอกเหล็กชั่วคราวปลอกเหล็กชั่วคราว ( CASING) จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเดียวกันกับเสาเข็มเจาะ ซึ่งแต่ละท่อนจะมีความยาว 1. 20 เมตร ต่อกันด้วยระบบเกลียวในการทำงานจะตอก ปลอกเหล็กผ่านชั้นดินที่ไม่มีเสถียรภาพ ( UNSTABLE STRATUM) ซึ่งอยู่ด้านบน จนกระทั่งถึงชั้นดินที่มีเสถียรภาพ ( STABLE STRATUM) เพื่อป้องกันการเคลื่อน พังของผนังรูเจาะ 3. กระบักตักดิน (BORING TACKLE) เมื่อกระเช้าถูกทิ้งลงไปในรูเจาะด้วยน้ำ หนักของตัวเองดินก็จะถูกอัดเข้าไปอยู่ในกระเช้า ทำซ้ำกันเรื่อยๆ จนดินถูกอัดจนเต็ม กระเช้า จึงนำขึ้นมาเทออก การเจาะจะดำเนินไปจนกระทั่งได้ ความลึกตามที่ต้องการ 4.
การเจาะและการใส่ Casing เมื่อตั้ง Tripod เข้าตรงศูนย์เข็มแล้ว ใช้ Bucket เจาะนำเป็นรูลึกประมาณ 1. 50 ม. แล้วนำ Casing ซึ่g งทำเป็นท่อนๆ ต่อกันด้วยเกลียวตอกลงไปในรูเจาะในแนวดิ่ง จนลึกถึงชั้นดินแข็งปานกลาง (Medium Clay) ที่พอเพียงที่จะป้องกันการพังทลายของชั้นดินอ่อนและน้ำใต้ดินไว้ได้ จากนั้นใช้ Bucket ขุดเจาะเอาดินออกจนถึงชั้นดินปนทราย ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานครมักจะอยู่ที่ความลึกประมาณ 18. 0 -21. 0 ม. (ขึ้นอยู่กับลักษณะทางธรณีวิทยาของแต่ละพื้นที่) ข้อควรปฏิบัติ และข้อควรระมัดระวัง ในระหว่างการเจาะเอาดินขึ้น ต้องตรวจสอบว่าผนังดินพังหรือยุบเข้าหรือไม่ โดยดูจากชนิดของดินซึ่งเก็บขึ้นมา ซึ่งควรจะต้องสอดคล้องกับความลึก และคล้ายคลึงกับเข็มต้นแรกๆ ถ้าตรวจพบว่าดินเกิดจากการเคลื่อนพังจะรีบแก้ไขในทันทีโดยตอกปลอกเหล็กชั่วคราวให้ลึกลงไปอีก การตรวจสอบก้นหลุม ใช้สปอร์ตไลท์หรือกระจกเงาส่องดูก้นหลุมว่ามีการยุบเข้า (CABE IN) มีน้ำซึมหรือไม่ ถ้ามีน้ำซึมที่บริเวณก้นหลุม จะใช้วิธีเทคอนกรีตแห้งลงไปประมาณ 0. 10 ลบ. ม. โดยแบ่งเป็นชั้นๆ และกระทุ้งให้แน่นด้วยตุ้มเหล็ก เป็นการทำให้ก้นหลุมเจาะสะอาดและอัดแน่น ไม่มีเศษดินหรือทรายร่วนตกค้างอยู่ และยังอาจเกิดเป็น Bulb ของคอนกรีตแห้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Bearing Capacity และลดค่า Settlement ของเสาเข็มเมื่อรับน้ำหนักบรรทุก (ในชั้นดินบางแห่งที่มีอัตราการซึมของน้ำใต้ดินค่อนข้างสูง การกระทุ้งด้วยตุ้มน้ำหนักอาจจะเปิดช่องน้ำใต้ดินให้ไหลเข้าสู่หลุมเจาะมากขึ้น) ดินที่เจาะขึ้นมา ควรนำาออกมานอกบริเวณโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดน้ำหนักจร (SURCHARGE) ต่อเสาเข็มต้นถัดไป ขั้นตอนที่ 4.
Brewing คนที่เริ่มเข้าสู่สาย Specialty coffee มักจะสบสนจนบางทีก็ไม่กล้าจะสั่งว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆนะครับให้นึกถึงคนทำเบียร์คราฟ ไม่ว่าจะเป็นการหมัก การแช่ การกลั่น การสกัด ทั้งหมดนี้คือการ Brewing Method หรือกระบวนการหรือวิธีในการสกัดกาแฟซึ่งมันมีมากมายหลายวิธีมากก ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันดีก็เช่น - Drip coffee - Cold brew coffee - Intro Coffee - Syphon Coffee 4. Drip Coffee, Filter Coffee, Hand Pour Coffee, Pour Over Coffee ทั้งหมดนี้ มันคือกาแฟดริปที่บ้านเรารู้จักกันครับ แตกต่างกันไปตามคำที่ใช้ร่วมกับกริยาที่เห็น เช่นบางประเทศเขาดูที่ลักษณะการสกัดมันใช้หยดน้ำรินลงมาสัมพัสกับผงกาแฟก็เลยตั้งว่า Pour หรือการรินน้ำเป็นหยดหรือการพรมน้ำนั่นเอง บางประเทศดูจากมือที่จับกาน้ำและรินน้ำ ก็ตั้งชื่อว่า Hand Pour ดังนั้นไม่ต้องตกใจหรือสงสัยว่ามันต่างกันยังไง มันคือสิ่งเดียวกันแต่ต่างกันที่ชื่อเท่านั้นครับ เพราะบางร้านหรือบางประเทศเขาจะตั้งชื่อแตกต่างกันไป 5. Ratio มันคืออัตราส่วนของกาแฟต่อน้ำ เช่น Ratio 1:1 สมมุติใช้กาแฟ 20 กรัม ถ้าใช้ ratio 1:1 นั่นคือต้องใช้น้ำ 20 กรัมนั่นเอง หรือ Ration 1:16 ถ้าใช้กาแฟ 20 กรัมก็เอากาแฟคูณกับ 16 จะได้เป็นปริมาณของน้ำ เท่ากับ 320 กรัม (ทั้งน้ำและกาแฟใช้หน่วยเป็นกรัมนะครับ) 6.
Process ในสาย Specialty Coffee นั้น นอกจากเราจะเลือกทานกาแฟจากแหล่งไหน ประเทศไหนแล้ว เรายังต้องเลือก process ของกาแฟด้วย เพราะแต่ละ process นั้นให้รสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะ Wash Process หรือ Wet Process, Dry Process, Honey Process etc. แต่ละ process ก็จะให้กลิ่นและรสแตกต่างกันถึงจะเป็นกาแฟที่เก็บมาจากแหล่งเดียวกันสายพันธ์เดียวกันก็เถอะ เช่นในบ้านเราตอนนี้นิยมทำเป็น Dry process เพราะมันสามารถเพิ่มรสชาติและความน่าสนใจให้กับกาแฟจากแต่ก่อนได้เยอะมากๆ ใครที่ชอบคลีนๆ สะอาดๆ เบาบาง ก็นิยมแบบ Washed Process หรือใครที่ชอบแนวผลไม้มาเต็มๆ ก็เลือก Natural หรือ Dry Process 9. Roasting Coffee คือกาแฟที่คั่วเรียบร้อยแล้ว ที่ต้องยกคำนี้ขึ้นมาเขียนเพราะเชื่อหรือไม่ว่ายังมีหลายคนที่เข้าใจว่า กาแฟมันเป็นผงพร้อมสกัดมาตั้งแต่ต้นกำเนิด มีจริงๆนะครับเพราะมีคนเคยถามผมมาแล้วเรื่องนี้ บางคนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า กาแฟนั้นเป็นผลไม้ เป็นผลไม้ตระกลูเชอรรี่ ทำความเข้าใจกันใหม่ครับ กาแฟนั้นจะต้องผ่านการเก็บผลจากต้น จากนั้นนำมาตาก จนเหลือความชื้อประมาณ 12% แล้วบ่มอีก 6 เดือนเป็นอย่างน้อย จากนั้นค่อยนำมาสีกะลาหรือเปลือกออก แล้วถึงจะนำสารกาแฟหรือ Green Beans มาคั่วจนถึงได้ Roasted coffee 10.
บังคับ คดี หัก เงินเดือน, 2024 | Sitemap