2 พนักงานขายในงานขายส่ง 1. พนักงานขายบุกเบิก 2. พนักงานขายประจำรถส่งสินค้า 3. พนักงานขายส่ง 4. พนักงานแนะนำสินค้า 2. 3 พนักงานขายปลีก 1. พนักงานขายในร้านหรือตามเคาน์เตอร์ 2. พนักงานขายสินค้าเฉพาะอย่าง 3. พนักงานขายสินค้าตามบ้าน 4. พนักงานขายตามเส้นทาง
1 พนักงานขายในอุตสาหกรรมทั่วไป 1. 2 วิศวกรฝ่ายขาย 1. 3 พนักงานขายฝ่ายบริการ 2. พนักงานขายในงานขายส่ง 2. 1 พนักงานขายบุกเบิก 2. 2 พนักงานขายประจำรถส่งสินค้า 2. 3 พนักงานขายส่ง 2. 4 พนักงานแนะนำสินค้า 3. พนักงานขายปลีก 3. 1 พนักงานขายในร้านหรือตามเคาน์เตอร์ 3. 2 พนักงานขายสินค้าเฉพาะอย่าง 3. 3 พนักงานขายสินค้าตามบ้าน 3. 4 พนักงานขายตามเส้นทาง
Narrators (15%) กลุ่มนี้จะเป็นพวกพรีเซนต์เก่งตามข้อมูลที่มีในมือ แต่ก็ไม่สามารถไปกว่าที่มีได้ เรียกได้ว่าถ้า Presentation มีแค่ไหนก็ตอบได้แค่นั้น และถ้าเจอคนถามก็ไปไม่ถูก คนเหล่านี้ควรถูกฝึกการถูกตั้งคำถามสด หรือการนำเสนอแบบไม่มีการเตรียมตัว 7. Aggressors (7%) ราคาเป็นเรื่องสำคัญกับคนกลุ่มนี้ เรียกว่าคุยกันด้วยเงินเลยก็ว่าได้ และหลายๆ ครั้งก็เรียกว่ารุกกับลูกค้ามากๆ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ลูกค้าหลายคนไม่ชอบเหมือนกัน คนกลุ่มนี้ต้องฝึกในการสังเกตคนอื่นๆ เพื่อที่จะไม่ทำให้คนที่พยายามจะขายงานด้วยถอยห่างออกไป 8. Socializers (15%) กลุ่มนี้เรียกได้ว่าทำตัวเป็นเพื่อนกับลูกค้ามากกว่าจะมาขายของ เน้นพูดคุยตีสนิทแต่กลับไม่สามารถขายของได้ เผลอๆ กลายเป็นว่าคุยกันทั้งวันไม่ได้พูดเรื่องขายของกันเลยซะงั้น คนกลุ่มนี้ต้องถูกฝึกในการหาจังหวะและเปิดบทสนทนาเพื่อการขายนั่นเอง นั่นแหละครับ คือ 8 ประเภทของนักขาย เชื่อว่าในแต่ละบริษัทก็จะมีนักขายในแต่ละประเภท จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ผู้บริหารด้านการขายเองก็ลองมองเรื่องนี้ดูเสียหน่อย และดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ทีมขายของเราเก่งขึ้นได้อีกนะครับ ^^
พนักงานที่เป็น Star คือ พนักงานที่มีศักยภาพสูง และผลการประเมินการปฏิบัติสูง ซึ่งองค์การอยากได้พนักงานในส่วนนี้มากๆ แต่ในความเป็นจริง พนักงานในกลุ่มนี้มีเพียงแค่ 10% เท่านั้นขององค์การ และถ้าผู้บริหารดูแลรักษาไม่ดี พนักงานในกลุ่มนี้ ก็จะออกไปอยู่ที่องค์การอื่น เพราะว่าเป็นที่ต้องการของบริษัทคู่แข่ง ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพนักงานกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง การขึ้นค่าจ้างประจำปี การจ่ายโบนัสและการให้ความก้าวหน้าในสายอาชีพ เป็นต้น 2.
ประเภทของงานขาย การแบ่งประเภทของงานขายนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการแบ่งว่าจะยึดสิ่งใดเป็นเกณฑ์โดยทั่วไปงานขายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ งานขายที่แบ่งตามระบบการจัดจำหน่าย สามารถแยกออกได้ 2 ประเภท คือ 1. 1 ระบบการขายตรง ( Direct Sales) คืองานที่จัดจำหน่ายสินค้าและบริการจากผู้ผลิตให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่ใช่พ่อค้าคนกลางหรือตัวแทนจำหน่ายใดๆ - การขายสินค้าตามบ้าน ( Door to Door Selling) - การขายโดยทางไปรษณีย์ ( Mail Selling) - การขายโดยใช้โทรศัพท์ ( Telephone Selling) - การขายโดยเครื่องจักรอัตโนมัติ ( Automatic Vending Machine) - การขายที่แหล่งผลิต ( Manufacturer Selling) 1. 2 ระบบผ่านตัวแทนคนกลาง ( Middleman Sales) - พ่อค้าคนกลาง ( Merchant Middleman) - ตัวแทนค้นกลาง ( Agent Middleman) 2. งานขายที่แบ่งตามลักษณะงาน แยกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ 2. 1 งานขายที่ใช้พนักงานขาย ( Personal Selling) - งานขายปลีก ( Retail Selling) - งานขายส่ง ( Wholesales Selling) - งานขายด้านอุตสาหกรรม ( Industrial Selling) 2. 2 งานขายที่ไม่ใช้พนักงานขาย ( Non-Personal Selling) - การโฆษณา ( Advertising) - การจัดแสดงสินค้า ( Display) - การส่งเสริมการขาย ( Promotion) - การบริการตนเอง ( Self Service) ลักษณะของงานขาย งานขายที่ต้องใช้เวลาในการขายและการเตรียมการขายมาก งานขายที่ขายได้ครั้งหนึ่งแล้วต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะขายได้อีก งานขายที่ขายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว งานขายที่ต้องมีบริการหลังการขาย งานขายที่เตรียมการขายน้อยและไม่ต้องมีบริการหลังการขาย ประเภทของพนักงานขายตามลักษณะของงานขาย พนักงานขายในงานอุตสาหกรรม 1.
พนักงานที่เป็น Star ตามทฤษฎีการบริหารจัดการให้ผู้บริหารคอยให้คำแนะนำ ปรึกษาพนักงานกลุ่มนี้ตลอดเวลา และสิ่งที่จะต้องทำคือ การให้ความสำคัญในการให้พนักงานกลุ่มนี้ได้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็น ที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ขององค์การ รวมทั้งการพิจารณาให้ได้มีโอกาสได้ไป อบรมสัมมนา และศึกษาต่อ ในหลักสูตรสำคัญ ๆ ที่มีส่วนให้พนักงานเกิดความภาคภูมิใจ ก็จะมีส่วนช่วยให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการทำงานสำหรับคนกลุ่มนี้ด้วย 2. พนักงานที่เป็น Problem Child พนักงานกลุ่มนี้มีความสามารถ มีศักยภาพ แต่อาจจะขาดด้าน การให้ความรู้ การสอนงานอย่างใกล้ชิด สำหรับประเด็นนี้หัวหน้าควรจะให้ความรักก่อนให้ความรู้ ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้พนักงานกลุ่มเกิดความเชื่อมั่นในตัวผู้บังคับบัญชามากขึ้น และยินดีที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของหัวหน้า 3. พนักงาน Work Horse เป็นพนักงานที่มีทัศนคติดีต่อองค์การ แต่ยังขาดทักษะความรู้ในเชิงธุรกิจและทางการบริหาร สำหรับพนักงานในส่วนนี้จำเป็นต้องเสริมด้านการพัฒนาศักยภาพ ผู้บริหารควรจะพิจารณาส่งพนักงานกลุ่มนี้ได้รับการสัมมนา/อบรมเพิ่มเติมในส่วนที่เป็น gap จากพื้นฐานของพนักงานเป็นคนที่มีทัศนคติดีอยู่แล้ว จะมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาได้ง่ายขึ้นกว่าพนักงานกลุ่มอื่น 4.
พนักงานขายเป็นอาชีพที่มาแรงมากในขณะนี้ เพราะสินค้าจะต้องมีตัวช่วยในการส่งเสริมการขาย ซึ่งสินค้ากับพนักงานขายถือเป็นสิ่งคู่กัน หรือเรียกได้ว่าขาดกันไม่ได้ หน้าที่ของพนักงานขาย คือ การขายสินค้าโดยมีเป้าหมายในการขายให้สามารถขายได้มากที่สุด หรืออาจจะมียอดขายที่ทางบริษัทได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งข้อนี้อาจทำให้พนักงานขายบางคนคำนึงถึงยอดขายมากกว่าจรรยาบรรณของพนักงานขายที่ดีไป ดังนั้นคนที่กำลังจะก้าวเข้ามาสู่อาชีพพนักงานขายควรรู้จรรยาบรรณของพนักงานขาย โดยมี 9 ข้อควรรู้ดังต่อไปนี้ 1. มีวาจาที่สุภาพ พนักงานขายควรมีวาจาที่สุภาพ พูดจาไพเราะน่าฟัง ใช้คำพูดในแง่บวกน่าฟัง เพราะพนักงานขายจะต้องสื่อสารกับลูกค้าเพื่อเสนอขายสินค้า ดังนั้นการพูดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อพนักงานขายไม่ว่าจะขายสินค้าประเภทใดก็ตาม และอีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือจรรยาบรรณของพนักงานขายในเรื่องการพูด คือการพูดนั้นสามารถนำมาซึ่งยอดขาย หากพนักงานขายใช้คำพูดที่ดีไพเราะน่าฟัง และนำเสนอน่าฟัง แต่หากพูดไม่ดีก็นำมาซึ่งความไม่ประทับใจของลูกค้าได้เช่นกัน 2. ไม่หลอกลวงลูกค้า จรรยาบรรณของพนักงานขายที่ดี คือ การไม่หลอกลวงลูกค้าอย่างเด็ดขาด โดยพนักงานขายหลายท่านที่คำนึงถึงแต่ยอดขาย มักหลงลืมจรรยาบรรณในข้อนี้ไป ดังนั้นจึงไม่ควรหลอกลวงลูกค้าด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ การไม่พูดความจริงเกี่ยวกับสินค้าที่ขาย เช่น ทำมาจากวัสดุชั้นดีที่แข็งแรง แต่ความจริงเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพสูงนัก หรือวิธีอื่นๆ ที่ไม่กล่าวความจริงให้ลูกค้าทราบ 3.
บังคับ คดี หัก เงินเดือน, 2024 | Sitemap